เมนู

พระภูตเถระผู้เห็นธรรมโดยถ่องแท้ เป็นผู้เดียวดุจนอแรด
ได้ภาษิตคาถา 9 คาถานี้ไว้ในนวกนิบาต ฉะนี้แล.
จบภูตเถรคาถา
จบนวกนิบาต

อรรถกถานวกนิบาต



อรรถกถาภูตเถรคาถาที่ 1



ในนวกนิบาต มีคาถาของท่านพระภูตเถระ เริ่มต้นว่า ยทาทุกฺขํ
ดังนี้. เรื่องนั้นมีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร ?
ท่านพระภูตะแม้นี้ เป็นผู้มีอธิการได้บำเพ็ญมาแล้วในพระพุทธเจ้า
พระองค์ก่อน ๆ ในภพนั้น ๆ ได้สั่งสมบุญซึ่งเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพาน
ไว้ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า สิทธัตถะ เกิดในตระกูล
พราหมณ์ได้นามว่า เสนะ พอรู้เดียงสาแล้ว วันหนึ่ง พบพระศาสดา มีใจ
เลื่อมใส จึงชมเชยด้วยคาถา 4 คาถา มีนัยเป็นต้นว่า อุสภํ ปวรํ ดังนี้.
ด้วยบุญกรรมนั้น ท่านจึงท่องเที่ยวไปในเทวโลกและมนุษยโลก
ในพุทธุปบาทกาลนี้ บังเกิดเป็นลูกชายของเศรษฐี ผู้มีทรัพย์สมบัติมาก
ในบ้านใกล้ประตูนครสาเกต. ได้ยินว่า ท่านเศรษฐีนั้นมีเด็ก ๆ เกิดขึ้น
แล้วหลายคน หากแต่ถูกยักษ์ตนหนึ่ง จับกินเสีย เพราะผูกใจอาฆาตไว้.
แต่สำหรับเด็กคนนี้ พวกภูตพากันยึดถือการรักษาไว้ได้ ก็เพราะความที่
เด็กนี้ เป็นผู้เกิดในชาติสุดท้าย.

ฝ่ายยักษ์ไปสู่ที่บำรุงของท้าวเวสวัณแล้วก็ไม่ได้ไปอีกเลย. ก็ใน
วันตั้งชื่อ พวกญาติทั้งหลายได้พากันตั้งชื่อเด็กคนนี้ว่า ภูตะ เพราะเมื่อ
ตั้งชื่ออย่างนี้แล้ว พวกอมนุษย์จะอนุเคราะห์บริหารคุ้มครอง. ก็ด้วยผลบุญ
ของตนเอง เด็กนั้นจึงไม่มีอันตราย เจริญวัยแล้ว คำว่าปราสาท 3 หลัง
ได้มีแล้ว ดังนี้เป็นต้นทั้งหมด พึงทราบราวกะการระบุถึงสมบัติของ
กุลบุตรผู้ทรงยศนั้น.
เด็กนั้นรู้เดียงสาแล้ว เมื่อพระศาสดาประทับอยู่ในพระนครสาเกต
เขาพร้อมกับพวกอุบาสกพากันไปยังวิหาร ฟังธรรมในสำนักของพระ-
ศาสดาแล้วได้เกิดมีศรัทธา บวชแล้วอยู่ในถ้ำใกล้ฝั่งแม่น้ำชื่อว่า อชกรณี
เริ่มเจริญวิปัสสนา ไม่นานนักก็บรรลุพระอรหัต. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึง
กล่าวไว้ในอปทาน1ว่า :-
ผู้ได้เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้องอาจ ผู้ประเสริฐ
ผู้แกล้วกล้า ผู้แสวงหาคุณใหญ่ ทรงชนะวิเศษ มีพระ-
ฉวีวรรณดังทองคำแล้ว ใครจะไม่เลื่อมใสเล่า ผู้เห็น
พระฌานของพระพุทธเจ้า อันเปรียบเหมือนภูเขาหิมวันต์
อันประมาณไม่ได้ ดังสาครอันข้ามได้ยากแล้ว ใครจะ
ไม่เลื่อมใสเล่า ผู้เห็นศีลของพระพุทธเจ้า ซึ่งเปรียบ
เหมือนแผ่นดินอันประมาณไม่ได้ ดุจมาลัยประดับศีรษะ
อันงดงาม ฉะนั้นแล้ว ใครจะไม่เลื่อมใสเล่า ผู้เห็น
พระญาณของพระพุทธเจ้า ซึ่งเปรียบดุจอากาศอันไม่
กำเริบ ดุจอากาศอันนับไม่ได้ ฉะนั้นแล้ว ใครจะไม่


1. ขุ. อ. 32/ข้อ 66.

เลื่อมใสเล่า พราหมณ์ชื่อว่าเสนะ ได้สรรเสริญพระ-
พุทธเจ้า ผู้ประเสริฐสุด พระนามว่าสิทธัตถะ ผู้ไม่ทรง
พ่ายแพ้อะไร ด้วยคาถา 4 คาถานี้แล้ว ไม่ได้เข้าถึง
ทุคติเลยตลอด 98 กัป เราได้เสวยสมบัติอันดีงามมิใช่
น้อย ในสุคติทั้งหลาย ในกัปที่ 94 แต่กัปนี้ เราสรร-
เสริญพระพุทธเจ้า ผู้นำของโลกแล้ว ไม่รู้จักทุคติเลย
นี้เป็นผลแห่งการสรรเสริญ ในกัปที่ 14 แต่กัปนี้ได้มี
พระเจ้าจักรพรรดิ 4 พระองค์ผู้สูงศักดิ์ ทรงสมบูรณ์ด้วย
รัตนะ 7 ประการ มีหมู่พลมาก, กิเลสทั้งหลายของเรา
ถูกเผาไหม้ไปแล้ว . . .ฯ ล ฯ . . . พระพุทธศาสนาเราได้
ทำเสร็จแล้ว ดังนี้.

ก็พระเถระครั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว สมัยต่อมา เมื่อจะทำการ
อนุเคราะห์หมู่ญาติ จึงไปยังพระนครสาเกต ได้รับการบำรุงจากพวกญาติ
2-3 วัน ก็ไปอยู่ในป่าไม้อัญชันแล้ว มีความประสงค์จะไปสู่ที่ที่ตนเคย
อยู่แล้วนั่นแลอีก จึงแสดงอาการว่าจะไป. พวกญาติจึงพากันอ้อนวอน
พระเถระว่า นิมนต์อยู่ในที่นี้แหละเจ้าข้า, ตัวท่านเองก็จักไม่ลำบาก, ถึง
พวกผมก็จักได้เจริญบุญเพิ่มขึ้น.
พระเถระเมื่อจะประกาศการยินดียิ่งในความสงัดและความอยู่ผาสุก
สบายในป่านั้นของตน จึงกล่าวคาถาทั้งหลายเหล่านี้ว่า :-
เมื่อใด บัณฑิตกำหนดรู้ทุกข์ในเบญจขันธ์ที่ปุถุชนทั้ง
หลายไม่รู้แจ้งว่า ความแก่และความตาย นี้เป็นทุกข์ แล้ว


1. ขุ. เถร. 26/ข้อ 369.

จมอยู่ เป็นผู้มีสติเพ่งพินิจอยู่ เมื่อนั้น ย่อมไม่ประสบความ
ยินดีในเบญจขันธ์นั้น ยิ่งไปกว่าความยินดีในวิปัสสนา
และในมรรคผล เมื่อใด บัณฑิตละตัณหาอันนำทุกข์มา
ให้ ซ่านไปในอารมณ์ต่าง ๆ นำมาซึ่งทุกข์อันเกิดเพราะ
ความต่อเนื่องแห่งธรรมเป็นเครื่องเนิ่นช้า เป็นผู้มีสติ
เพ่งพินิจอยู่ เมื่อนั้น ย่อมไม่ประสบความยินดี ยิ่งไป
กว่าการพิจารณาธรรมนั้น เมื่อใด บัณฑิตถูกต้องทางอัน
สูงสุด เป็นทางปลอดโปร่ง ให้ถึงองค์ 2 และองค์ 4
เป็นที่ชำระกิเลสทั้งปวงด้วยปัญญา มีสติเพ่งพินิจอยู่ เมื่อ
นั้น ย่อมไม่ได้ประสบความยินดียิ่งไปกว่าการเพ่งพิจารณา
นั้น เมื่อใด บัณฑิตเจริญสันตบทอันไม่ทำให้เศร้าโศก
ปราศจากธุลี อันปัจจัยอะไร ๆ ปรุงแต่งไม่ได้ ให้หมดจด
จากกิเลสทั้งปวง เป็นเครื่องตัดกิเลสเครื่องผูกพัน คือ
สังโยชน์ เมื่อนั้น ย่อมไม่ได้ประสบความยินดียิ่งไปกว่า
การเจริญสันตบทนั้น เมื่อใด กลองคือเมฆอันเกลื่อนกล่น
ด้วยสายฝน ย่อมคำรนร้องอยู่บนนภากาศ อันเป็นทาง
ไปแห่งฝูงนกอยู่โดยรอบ และภิกษุไปเพ่งพิจารณาธรรม
อยู่ที่เงื้อมเขา เมื่อนั้น ย่อมไม่ได้ประสบความยินดีอย่าง
อื่น ยิ่งไปกว่าการเพ่งธรรมนั้น เมื่อใด บัณฑิตมีจิต
เบิกบาน นั่งเพ่งพิจารณาธรรมอยู่ฝั่งแม่น้ำทั้งหลาย
อันดารดาษไปด้วยดอกโกสุม และดอกมะลิที่เกิดในป่า
อันวิจิตรงดงาม ย่อมไม่ได้ประสบความยินดีอย่างอื่น

ยิ่งไปกว่าการนั่งเพ่งพิจารณาธรรมนั้น เมื่อใด มีฝนฟ้า
ร้องในเวลาราตรี ฝูงสัตว์ที่มีเขี้ยวก็พากันยินดีอยู่ในป่า
ใหญ่ และภิกษุไปเพ่งพิจารณาธรรมอยู่ที่เงื้อมเขา เมื่อ
นั้น ย่อมไม่ประสบความยินดีอย่างอื่น ยิ่งไปกว่าการ
พิจารณาธรรมนั้น เมื่อใด ภิกษุกำจัดวิตกทั้งหลายของตน
เข้าไปสู่ถ้ำภายในภูเขา ปราศจากความกระวนกระวายใจ
ปราศจากกิเลสอันตรึงใจเพ่งพิจารณาธรรมอยู่ เมื่อนั้น
ย่อมไม่ได้ประสบความยินดีอย่างอื่น ยิ่งไปกว่าการ
พิจารณาธรรมนั้น เมื่อใด ภิกษุมีความสุข ยังมลทิน
กิเลสอันครั้งจิตและความเศร้าโศกให้พินาศ ไม่มีกลอน
ประตูคืออวิชชา ไม่มีป่า คือตัณหา ปราศจากลูกศร คือ
กิเลส เป็นผู้ทำอาสวะทั้งปวงให้สิ้นไป เพ่งพิจารณา
ธรรมอยู่ เมื่อนั้น ย่อมไม่ได้ประสบความยินดีอย่างอื่น
ยิ่งไปกว่าการเพ่งพิจารณาธรรมนั้น.

บรรดาคาถาเหล่านั้น บัณฑิตพึงทราบการพรรณนาเนื้อความแห่ง
คาถาแรก ซึ่งมีวาจาประกอบความเฉพาะบทที่เป็นประธานดังต่อไปนี้ :-
ความแก่รอบแห่งขันธ์ทั้งหลายชื่อว่า ชรา. ความแตก (แห่งขันธ์ทั้งหลาย)
ชื่อว่า มรณะ. ก็ธรรมดาที่มีความแก่และความตาย ในที่นี้ท่านสงเคราะห์
มุ่งถึงชราและมรณะ.
ในกาลใด บัณฑิตคือภิกษุในศาสนานี้ กำหนดรู้ทุกข์นั้น ด้วย
มรรคปัญญา ที่สัมปยุตด้วยวิปัสสนาปัญญาว่า สิ่งนี้เป็นทุกข์, สิ่งมี
ประมารเท่านี้ เป็นทุกข์ ไม่มีสิ่งอื่นที่ยิ่งไปกว่าทุกข์นี้ ดังนี้ ในอุปาทาน

เบญจขันธ์ ที่ปุถุชนทั้งหลายไม่รู้แจ้ง คือไม่รู้ตามความเป็นจริงว่า ความ
แก่และความตายนี้เป็นทุกข์ ดังนี้แล้ว จมอยู่ คือผูกพันแนบแน่น เป็น
ผู้มีสติ คือมีสัมปชัญญะเพ่งพินิจอยู่ ด้วยลักขณูปนิชฌาน.
เมื่อนั้น ย่อมไม่ประสบ คือไม่ได้ ความยินดียิ่งไปกว่า คือสูงสุด
กว่าความยินดีในวิปัสสนา และความยินดีในมรรคและผล. ด้วยเหตุนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า :-
ในกาลใด ๆ ภิกษุพิจารณาความเกิดขึ้นและความ
เสื่อมไป แห่งขันธ์ทั้งหลาย ในกาลนั้น ๆ เธอย่อมได้
ปีติปราโมทย์ ข้อนั้นเป็นอมตะของบัณฑิตผู้รู้ทั้งหลาย
โสดาปัตติผลประเสริฐกว่าความเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ผู้
เป็นเอกราชในแผ่นดิน กว่าการไปสวรรค์ และกว่าความ
เป็นใหญ่ ในโลกทั้งปวง.

พระเถระครั้น แสดงถึงราตรีที่สงัด โดยมุ่งถึงการรู้ชัดด้วยการหยั่งรู้
อย่างนี้แล้ว บัดนี้ เพื่อจะแสดงถึงข้อนั้น โดยมุ่งถึงการละเป็นต้นไป
จึงกล่าวคาถา 3 คาถามีคาถาที่ 2 เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทุกฺขสฺสาวหนึ ได้แก่ เป็นไปเพื่อ
ความทุกข์ในเบื้องหน้า อธิบายว่า เผล็ดผลเป็นทุกข์
บทว่า วิสตฺติกํ คือ ตัณหา. ก็ตัณหานั้น ท่านเรียกว่า วิสัตติกา
เพราะอรรถว่า แผ่ซ่านไป, เพราะอรรถว่า กว้างขวาง, เพราะอรรถว่า
หลั่งไหลไปทั่ว เพราะอรรถว่า ไม่อาจหาญ, เพราะอรรถว่า นำไปสู่สิ่ง
มีพิษ. เพราะอรรถว่า หลอกลวง. เพราะอรรถว่า มีรากเป็นพิษ,
เพราะอรรถว่า มีผลเป็นพิษ, เพราะอรรถว่า บริโภคเป็นพิษ, ก็อีก

อย่างหนึ่ง ตัณหานั้น ที่กว้างขวางใหญ่โต ท่านเรียกว่าวิสัตติกา เพราะ
อรรถว่า แพร่กระจายไป ในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมะ
ตระกูล และหมู่คณะ.
บทว่า ปปญฺจสงฺฆาตทุขาธิราหินึ ความว่า ชื่อว่า ปปัญจะ เพราะ
อรรถว่า ทำความสืบต่อแห่งสัตว์ในสงสารให้ชักช้า คือให้ยืดยาว ได้แก่
ราคะเป็นต้น และได้แก่มานะเป็นต้น. ปปัญจธรรมทั้งหลายเหล่านั้นนั่น
แล ชื่อว่า สังฆาตา เพราะอรรถว่า รวบรวมทุกข์ที่เกิดขึ้นไว้, และ
ชื่อว่าทุกข์ เพราะมีสภาวะกระวนกระวายและเร่าร้อน เหตุนั้น จึงชื่อว่า
ปปัญจสังฆาตทุขาธิวาหินี เพราะนำมาเฉพาะ คือ เพราะเกิดความทุกข์ที่
รวบรวมไว้ซึ่งธรรมเครื่องเนิ่นช้า. บทว่า ตณฺหํ ปหนฺตฺวาน ได้แก่ ตัด
ได้เด็ดขาดซึ่งตัณหานั้น ด้วยอริยมรรค.
บทว่า สิวํ ได้แก่ เกษม, อธิบายว่า ด้วยการตัดได้เด็ดขาดซึ่ง
กิเลสทั้งหลาย อันเป็นตัวทำความไม่ปลอดโปร่งให้ บัณฑิตเหล่านั้นจึงไม่
เดือดร้อน.
ทางอันประกอบด้วยองค์ 8 ด้วยอำนาจแห่งสัมมาทิฏฐิเป็นต้น ชื่อว่า
เทฺวจตุรงฺคคามินํ เพราะอรรถว่า ให้พระอริยะทั้งหลายถึงพระนิพพาน
ก็ในคาถาม พึงเห็นว่า ท่านทำการลบวิภัตติเสีย ก็เพื่อสะดวกแก่รูปคาถา.
ชื่อว่า มคฺคุตฺตมํ เพราะเป็นทางสูงสุด ในบรรดาทางทั้งหมดมี
ทางที่เกิดขึ้นแห่งรูปเป็นต้น. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัส
ว่า มรรคมีองค์ 8 ประเสริฐกว่าทางทั้งหลาย เป็นต้น. ชื่อว่า สพฺพ-
กิเลสโสธนํ
เพราะชำระสัตว์ทั้งหลายให้สะอาดจากมลทินคือกิเลสทั้งปวง.

บทว่า ปญฺญาย ปสฺสิตฺวา ได้แก่ เข้าถึงแล้ว ด้วยอำนาจการ
รู้เฉพาะภาวนา โดยปฏิเวธปัญญา.
ชื่อว่า อโสกํ เพราะความเศร้าโศกในที่นี้ไม่มี เพราะเหตุแห่ง
ความเศร้าโศกไม่มี และเพราะเหตุที่บุคคลไม่มีความเศร้าโศก.
ชื่อว่า วิรชํ เพราะธุลีมีราคะเป็นต้นไปปราศแล้วอย่างนั้น.
ชื่อว่า อสงฺขตํ เพราะอันปัจจัยอะไร ๆ ปรุงแต่งไม่ได้.
ชื่อว่า สนฺตํ ปทํ เพราะสงบระงับกิเลสทั้งปวง และทุกข์ทั้งปวง
ได้ และเพราะพึงบรรลุคือเว้นจากการถูกเบียดเบียนในสังสารทุกข์.
ชื่อว่า สพฺพกิเลสโสธนํ เพราะมีการชำระสันดานของสัตว์ให้
สะอาดจากมลทินคือกิเลสทั้งปวงเป็นเครื่องหมาย.
บทว่า ภาเวติ ความว่า ย่อมบรรลุ ด้วยอำนาจสัจฉิกิริยาภิสมัย.
ก็เมื่อบุคคลนั้น ปรารภพระนิพพานมากครั้งแล้ว ยังสัจฉิกิริยาสมัยให้เป็น
ไป เมื่ออารมณ์ที่จะพึงยึดหน่วงคุณวิเศษที่จะได้มีอยู่ จึงยกขึ้นกล่าวอย่าง
นี้. ชื่อว่า สัญโญชนพันธนัจฉิทะ เพราะตัดเครื่องผูกพันทั้งหลาย คือ
สังโยชน์ได้.
จริงอยู่ ในที่นี้ ท่านใช้เครื่องหมาย โดยความเป็นกัตตุวาจก
เหมือนสัจจะทั้งหลาย ที่ทำความเป็นอริยะ. ท่านเรียกว่า อริยสัจ ฉะนั้น
มีวาจาประกอบความว่า ในคาถานี้ ในเวลาที่เจริญสันตบท ย่อมไม่ได้
ประสบความยินดีที่ยิ่งไปกว่าการเจริญสันตบทนั้น เหมือนมีวาจาประกอบ
ความว่า ในคาถาก่อน ๆ ในเวลาที่เพ่งพินิจ ย่อมไม่ได้ประสบความ
ยินดียิ่งไปกว่าการเพ่งพิจารณานั้นฉะนั้น.

พระเถระ ครั้นน้อมนำตนให้เข้าไปด้วยคาถา 4 คาถาอย่างนี้แล้ว
จึงพยากรณ์ความเป็นพระอรหันต์ โดยระบุถึงการตรัสรู้สัจจะ 4 ประการ
บัดนี้ เมื่อจะแสดงถึงความผาสุกแห่งสถานที่ที่ตนอยู่แล้ว โดยความสงัด
เงียบ จึงกล่าวคาถาทั้งหลาย มีคาถาเริ่มต้นว่า ยทา นเภ ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นเภ ได้แก่ ในอากาศ. กลองคือเมฆ
ชื่อว่า เมฆทุนฺทุภิ เพราะมีเสียงนุ่มนวล กังวาน และกึกก้อง.
ชื่อว่า ธารากุลา เพราะเกลื่อนกล่น ด้วยสายน้ำที่ไหลมาจากทุกทิศ
มีวาจาประกอบความว่า ในนภากาศ อันชื่อว่าเป็นทางไปแห่งฝูงนก
เพราะเป็นทางไปแห่งฝูงนกเหล่าปักษี. บทว่า ตโต โยค ฌานรติโต
แปลว่า กว่าความยินดีในการเพ่ง.
บทว่า กุสุมากุลานํ ได้แก่ ดารดาษด้วยดอกโกสุมที่หล่นแล้ว
จากต้น.
บทว่า วิจิตฺตสาเนยฺยวฏํสกานํ ความว่า ชื่อว่า ดอกมะลิป่า
เพราะเกิดในป่า แม่น้ำมีพวงมาลัยดอกมะลิป่าอันวิจิตร ชื่อว่า วิจิตฺตวา-
เนยฺยวฏํสกา
อธิบายว่า แม่น้ำมีพวงมาลัยดอกไม้ป่านานาชนิด. ชื่อว่า
ผู้มีใจเบิกบาน เพราะเขามีใจดี ด้วยอำนาจอุตริมนุสธรรมเพ่งอยู่.
บทว่า นิสีเถ ได้แก่ ในเวลาราตรี. บทว่า รหิตมฺหิ ได้แก่
ในที่สงัดเงียบ ปราศจากความเบียดเสียดแห่งหมู่ชน.
บทว่า เทเว ได้แก่ เมฆ. บทว่า คฬนฺตมฺหิ ได้แก่ มีสายน้ำฝน
หลั่งไหล ตกลง.
บทว่า ทาฐิโน ได้แก่ ฝูงสัตว์ที่เป็นปฏิปักษ์ มีราชสีห์และ
เสือโคร่งเป็นต้น. จริงอยู่ สัตว์เหล่านั้น มีเขี้ยวเป็นอาวุธ ท่านจึงเรียกว่า

ทาฐิโน. คำว่า นทนฺติ ทาฐิโน แม้นี้ ท่านถือเอาก็เพื่อจะแสดงชี้ถึง
ความสงัดเงียบจากหมู่ชนเท่านั้น.
บทว่า วิตกฺเก อุปรุนฺธิยตฺตโน ความว่า กำจัดมิจฉาวิตกทั้งหลาย
มีกามวิตกเป็นต้น โดยพลังแห่งความเป็นปฎิปักษ์ของตน เพราะนับ
เนื่องในสันดานของตน. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า อตฺตโน นี้ พึงประกอบ
เข้าด้วยบทว่า วินฺทติ นี้ว่า เมื่อนั้นย่อมไม่ได้ประสบความยินดีอย่างอื่น
ยิ่งไปกว่าการพิจารณาธรรมนั้น ดังนี้.
บกว่า นคนฺตเร แปลว่า ภายในภูเขา.
บทว่า นควิวรํ ได้แก่ ถ้ำภายในภูเขา หรือเงื้อมเขา.
บทว่า สมสฺสิโต ได้แก่ เข้าไปโดยการอาศัยอยู่.
บทว่า วีตทฺทโร ได้แก่ ปราศจากกิเลสเป็นเหตุให้กระวนกระวาย
ได้.
บทว่า วีตขิโล ได้แก่ ละกิเลสดุจตะปูตรึงใจเสียได้.
บทว่า สุขี ได้แก่ มีความสุข ด้วยสุขอันเกิดแต่ฌานเป็นต้น.
บทว่า มลขิลโสกนาสโน ได้แก่ ละมลทินมีราคะเป็นต้น ละ
กิเลสดุจตะปูตรึงใจ 5 ประการ และละความเศร้าโศก มีความพลัดพราก
จากญาติเป็นต้นเป็นเหตุได้.
บทว่า นิรคฺคโฬ ได้แก่ อวิชชา ท่านเรียกว่า กลอนประตู
เพราะห้ามการเข้าไปใกล้พระนิพพาน, เรียกว่า นิรคฺคโฬ เพราะไม่มี
กลอนประตูคืออวิชชานั้น.
บทว่า นิพฺพนโถ ได้แก่ ไม่มีตัณหา. บทว่า วิสลฺโล ได้แก่
ปราศจากลูกศรคือกิเลสมีราคะเป็นต้น.

บทว่า สพฺพาสเว ได้แก่ ทำอาสวะทั้งหมดมีกามาสวะเป็นต้น
(ให้สิ้นไป).
บทว่า พฺยนฺติกโต มีวาจาประกอบความว่า เมื่อใดภิกษุทำ
(อาสวะ) ให้สิ้นไป คือทำกิเลสให้ปราศไปด้วยอริยมรรค ดำรงอยู่ เพ่งพินิจ
เพื่อความอยู่เป็นสุขในทิฏฐธรรม เมื่อนั้น ย่อมไม่ได้ประสบความยินดี
อย่างอื่น ยิ่งไปกว่าความยินดีในการเพ่งพิจารณาธรรมนั้น. ก็พระเถระ
ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้วก็มุ่งตรงไปสู่ฝั่งแม่น้ำอชกรณีแล.
จบอรรถกถาภูตเถรคาถา
จบปรมัตถทีปนี อรรถกถาเถรคาถา
นวกนิบาต

เถรคาถา ทสกนิบาต



1. กาฬุทายีเถรคาถา



ว่าด้วยคาถาของพระกาฬุทายีเถระ


[370] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บัดนี้ หมู่ไม้ทั้งหลาย มีดอก
และใบ มีสีแดงดังถ่านเพลิง ผลิผลสลัดใบเก่าร่วงหล่น
ไป หมู่ไม้เหล่านั้นงามรุ่งเรืองดังเปลวเพลิง ข้าแต่
พระองค์ผู้มีความเพียรใหญ่ เวลานี้เป็นเวลาสมควร
อนุเคราะห์หมู่พระญาติ ข้าแต่พระองค์ผู้แกล้วกล้า หมู่
ไม้ทั้งหลายมีดอกบานงามดี น่ารื่นรมย์ใจส่งกลิ่นหอม
ฟุ้งตลบไปทั่วทิศโดยรอบ ผลัดใบเก่า ผลิดอกออกผล
เวลานี้เป็นเวลาสมควรจะหลีกออกไปจากที่นี้ ขอเชิญ
พระพิชิตมารเสด็จไปสู่กรุงกบิลพัสดุ์เถิด ข้าแต่พระองค์
ผู้เจริญ ฤดูนี้เป็นฤดูที่ไม่หนาวนัก ไม่ร้อนนัก เป็นฤดู
พอสบาย ทั้งมรรคาก็สะดวก ขอพวกศากยะและโกลิยะ
ทั้งหลาย จงได้เข้าเฝ้าพระองค์ที่แม่น้ำโรหิณี อันมีปากน้ำ
อยู่ทางทิศใต้ ชาวนาไถนาด้วยความหวังผล หว่านพืช
ด้วยความหวังผล พ่อค้าผู้เที่ยวหาทรัพย์ ย่อมไปสู่สมุทร
ด้วยความหวังทรัพย์ ข้าพระองค์อยู่ในที่นี้ ด้วยความหวัง
ผลอันใด ขอความหวังผลอันนั้นจงสำเร็จแก่ข้าพระองค์
เถิด ชาวนาหว่านพืชบ่อย ๆ ฝนตกบ่อย ๆ ชาวนาไถนา
บ่อย ๆ แว่นแคว้นสมบูรณ์ด้วยธัญญาหารบ่อย ๆ พวก